วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิว: Akuma no riddle


Akuma no riddle
CG animation : 8.1/10
Character Design: 8.8/10
Story: 6.8/10
Soundtrack/Voice Actor: 9/10
Impression: 6.8/10
Emotion/Drama: 7/10

Type: TV Series
Studio: DiomedeaFUNimation EntertainmentLMainichi BroadcastingPony Canyon
Thai LC: Yes (Rose media)



อนุญาตให้อ่านชาร์ตคะแนนอีกรอบ จะรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่บาล้านซ์มากๆจริงไหม 555+ เดี่ยวจะบอกว่าทำไม...
ตัดสินแบบคนดูปกติ ไม่ได้ใช้ความรู้สึกอวยอะไรมาสอดแทรกเลย ขอสาบานด้วยเกียรติ์ของผู้คอสโทคาคุ //ไร้สาระพอล่ะ

เรื่องนี้เป็นอนิเมะแนวแอคชั่น บู๊แหลก สาวๆไล่ฆ่ากัน ด้วยพล็อตเรื่องน่าสนใจว่า ในห้องเรียนที่ทุกคนเป็นนักฆ่า และมีเหยื่อ 1 ea ถ้าฆ่าเพื่อนที่เป็นเหยื่อได้ ภายในเวลา 1 วัน หลังจากส่งใบแจ้งเตือนการลงมือแล้วจะขออะไรก็ได้ 1 ข้อ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็โดนไล่ออก  แต่เรื่องไม่ง่ายแบบนั้น เพราะเหยื่อ 1 คนนั้นก็มีพระเอก(?) คอยตามปกป้องด้วย พอฟังแนวเรื่องแล้ว ทุกคนคงจะหวังกับตอนจบมากเป็นพิเศษ อยากรู้ว่าจะจบยังไง แลดูมีการหักมุม ถูกต้องไหม? สำหรับบางคน มันอาจจะหักมุมจริง แต่สำหรับผม มันไม่หักมุมอะไรเลยหรือเพราะผมผ่านอนิเมะหลายแบบมามาก คาดหวังมากไป หรืออย่างไรก็ตาม นี้ไม่ใช่การสปอร์ย คุณอาจจะรู้สึกว่ามันจบน่าเบื่อกว่าผมก็ได้ ใครจะรู้....ดราม่าหรือความซับซ้อนของเรื่อง เหมือนจะซับซ้อน มีปมเยอะ สุดท้ายก็ไม่มีอะไร แค่ขยายปมเล็กๆให้มันดู "มีอะไร" มากขึ้นเฉยๆ สุดท้ายก็ไม่พ้นแนว ตัวเอกมีแผลในใจ ทำให้กลายเป็นคนที่เก่งและเท่มาก เรียกร้องคะแนนแม่ยกพ่อยก อะไรบ้านๆที่อนิเมะรุ่นเก่าๆมี
แม้ว่าแต่ล่ะตอน จะมีตัวเด่นเป็นตอนๆไป แต่ถ้าใครอยากได้ฉากบู๊มากๆ ขอแสดงความเสียใจด้วย ที่ฉากบู๊ในแต่ล่ะตอนนั้นสั้นมากเช่นกัน มีแค่ตอน 10 ล่ะมั้ง ที่ยาวโดนใจผม ฮะๆ
นั้นเป็นเหตุผลที่เนื้อเรื่องและการกำกับ ผมให้ค่อนข้างต่ำ มังงะเป็นไงไม่รู้นะ ต้องลองเอง เผื่อจะโดนใจมากขึ้น

แต่ในความผิดหวัง มันก็ต้องมีจุดน่าสนใจ ผมค่อนข้างชอบลูกเล่นในเนื้อหาที่ไม่มีอะไรนี้แหล่ะ มันเหมือนการสะท้อนภาพสังคมห้องเรียนอ่อนๆว่า แต่ละคน ร้อยพ่อพันแม่มารวมกัน แม้มีจุดประสงค์ที่เหมือนกัน แต่นิสัยรวมถึงวิธีการ ย่อมต่างกัน นั้นทำให้ "กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตการศึกษา" ผมจึงรู้สึกสนุกกับการได้ดูวิธีการลงมือของแต่ล่ะคนและปมปัญหาของแต่ล่ะคน ถ้ามันจะน่าติดตาม ก็คงเพราะ "คนดูอยากรู้นิสัยและธาตุแท้ของแต่ล่ะคนที่จะปรากฏในเรื่องอย่างหลากหลายมากกว่า" ทุกคนมีเสน่ห์ในตัว จึงเป็น 12 ตอนที่ได้ความรู้สึกใหม่ๆ ไม่ซ้ำกันเลยจริงๆ 

การดีไซน์คาแรคเตอร์ค่อนข้างดี แต่ล่ะคนสวย น่ารัก ไม่รู้สึกว่ามีใครจืดชืดหรืออยู่นอกสายตาเป็นพิเศษ (ถึงบทมันจะมีแบบนั้นบ้างก็เถอะ) ผสมกับ CG ไม่ค่อยเผาด้วย ยอมรับว่าเรื่องนี้เผาน้อย และเน้นเก็บรายละเอียดส่วนหน้าตาคาแรคเตอร์ดีเป็นพิเศษ จึงได้ใจผมไปเต็มๆในส่วนของคุณภาพงาน ใครชอบสาวๆลายเส้นคมๆหล่อๆ แนะนำเลย 
ซาวแทร็คให้สูงหน่อย เพราะ ED แต่ล่ะตอน ไม่ซ้ำกัน ตอนนั้น คาแรคเตอร์ไหนเด่น ก็จะเป็นธีมของคนๆนั้น แม้จะเป็น ED ที่ทำง่ายๆ แต่ผมให้เยอะเพราะลงทุน กล้าได้กล้าเสียนี้แหล่ะ ถึงจะขาดไปคนนึงก็ตาม.....คนนั้นจืดจางจนผมมองไม่เห็นล่ะ 5555555+

ก็ไม่มีอะไรมาก ใครชอบแนวสู้กัน เท่ๆ สบายๆ ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องคิดมาก งานคุณภาพดี ก็อย่าลืมอุดหนุนของแท้นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิว: Aldnoah.Zero


Aldnoah.Zero
CG animation : 8/10
Character Design: 8/10
Story: 9/10
Soundtrack/Voice Actor: 8.5/10
Impression: 7.6/10
Emotion/Drama: 8.5/10

Type: TV Series
Studio: Aniplex, A-1 pictures
Thai LC: Not yet


หลังจากที่ผมไม่ได้เขียนรีวิว+วิเคราะห์อนิเมะมานานมาก เนื่องจากปัญหาการเรียนและสุขภาพ ก็ต้องขออภัย ณ ที่นี้จริงๆ
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า อนิเมะที่กำกับโดยจอมมมาร Urobuchi Gen (ได้ข่าวว่าเฮียทำไม่ถึง 3 ตอนนี้) เรื่องนี้เป็นกระแสฮือฮาอย่างมากในซีซั่นที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากเปิดมา เฮียแกก็ล่อของเด็ดเลย (?) แต่นั้นเป็นดาบสองคม ถึงแม้ว่าจะดึงดูดให้ผู้คนติดตามได้ในตอนแรก และการใช้เทคนิค ตัดจบ ค้าง ให้ลงแดงแบบมาโดกะ สามารถเรียกผู้ชมได้ถล่มถลาย แต่พอลองมองย้อนกลับไปแล้ว ทั้งเรื่อง มันก็ไม่ได้หวือหวาพอให้คอเก็บเฟ่นหาบลูเรย์มาเก็บแบบแย่งกันแน่ ถ้าไม่ใช่คอแนวนี้จริงๆ คงจะรู้สึกดูแค่รอบเดียวก็พอใจแล้ว 

ล่อเป้าด้วยทีมงาน ล่อเป้าด้วย OST กำกับ แม้การดีไซน์คาแรคเตอร์ตอนแรกๆที่หลุดออกมาจะไม่เป็นต่อ ในความคิดแอดมิน รู้สึกเหมือนเห็นคาแรคเตอร์จากอนิเมะแนวนิยายหรือเกมออนไลน์มาทำไซไฟร์มากกว่า ฮะๆ แปลกดี
เนื้อหาไม่ได้ปวดตับอะไรมากมาย เนื่องจากพื้นเดิมมันมีการเมืองแฟนตาซี(ระหว่างดาว)อ่อนๆผสมปนเปอยู่ มันมีเหตุผลของตัวเอง เพราะเป็นอนิเมะไซไฟร์ ทำให้เดาทางได้ง่ายมาก ว่า "สงครามที่เกิดจากโมหะของคน และการเหยียดเชื้อชาติ" มันควรออกมารูปแบบไหน ถ้าให้วิเคราะห์ตรงนี้ คงไม่มีอะไรให้วิเคราะห์เท่าไร ขอข้ามละกันนะ เพราะตัวเรื่องไม่ได้เจาะขนาดนั้น
สำหรับผู้ที่ดูแนวนี้มาอย่างโชคโชน ไอ้ที่เป็นกระแสกัน มันมาจากองค์ประกอบหลายๆอย่าง ไม่ใช่แค่เพราะเนื้อหาแน่นอน หลักๆน่าจะมาจาก "ดราม่า" หักมุมมากกว่า ต้องขอใช้คำว่า "ผู้กำกับกล้าเล่นแบบนี้มานานแล้ว" กล้าจะทำให้คนดูช็อคในการกระทำต่างๆของคาแรคเตอร์ ที่คาดไม่ถึง 

ประเด็นจิตวิทยา เรื่องนี้ทำออกมาตอนแรก เหมือนจะมีเยอะ ทั้งลุงมาริโตะที่เป็น Post traumatic stress disorder ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Survivor guilt ความสำนึกผิดของผู้รอดชีวิต หาได้ง่ายๆหลังสนามรบ... ไปมาก็มีนิดเดียว ถ้าลุงแกถูกบำบัดจนหาย ก็หวังว่าจะมีประโยชน์กว่านี้ .....คงต้องพุ่งเป้าไปที่พระรอง สเลน ทรอยยาร์ด พระรองที่แย่งบทพระเอกแทรงทางโค้ง เป็นคาแรคเตอร์ที่ถูกกำกับว่า "มีจิตใจที่อ่อนโยนจนถึงเบื้องลึกของจิตใจเลย" คาแรคเตอร์ทำคุณบูชาโทษตลอด หลายๆคนอาจบอกว่าหมอนีน่าสงสาร ถ้าผมจะพูดอย่างบ้านๆคือ "อ่อนโยนจนบื้อ" มากกว่า แลดูอารยธรรมของดาวอังคาร จะไม่มีการฝึกทหารด้านการเตรียมพร้อมของจิตใจและทักษะหลายๆอย่างนะ มันเลยออกมาล็อปนี้ ....ดูจากความคิดการอ่านตั้งแต่เชื้อราชวงศ์อย่างองค์หญิง ที่ทำอะไรหุนหันพลันแล่น ไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าคิดให้ดีกว่านี้ ทุกอย่างจะไม่กลาหลขนาดนี้ หรือจะเป็นขุนนาง ที่ทำตัวเหมือนคนในสภาการเมือง แต่ไม่มีการตรวจสอบอะไรเลย ดาวนี้ล่มแน่... จนถึงขี้ข้าเบื้องล่างอย่างสเลน ที่เป็นทหารแท้ๆ แต่รนรานและขาดการวางแผนที่รอบคอบ ไม่ใช่แค่นั้น ดาวนี้สละชีพกันเป็นว่าเล่นเลย ในขณะที่ดาวโลก เขาวิทยาการแย่กว่าคุณ แต่ใช้ "สมอง" ล้วนๆในการต่อกร... คุณจะรู้เองว่าชาวดาวอังคารขาดทักษะอะไรบ้าง ที่มนุษย์ในระดับสถานภาพหรือชนชั้นๆนั้นๆในโลกมนุษย์ควรจะมี เทียบกับ Blue steels แล้ว พวกดาวอังคารก็แค่ Mental model เป็นเรือที่ไม่มีกัปตัน........แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดล่ะนะ 
การแสดงออกของสเลน เหมือนเป็นการจำลองภาพของ "คนธรรมดาหรือเด็ก ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนอะไรเลย แต่กลับถูกยัดเยียด ภาระแสนสำคัญให้" เป็นพล็อตคล้ายๆ Evangelion และเปรียบได้กับ Ikari Shinji แต่ชินจิ มันมีปัญหาด้านจิตใจและต่างสถานการณ์กันอานะ...... นั้นเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมถึงชอบเรื่องนี้ หลายคนด่า ก็ด่าไป แต่ลองคิดดูดีๆ ถ้าเป็นคุณหรือผม ไม่ใช่ว่าน่าจะ... ตายตั้งแต่แรก ไปแล้วหรอครับ? ก็ว่าไปนั้น อย่าซีเรียสนะ 555+

หลายๆคนพุ่งเป้าไปที่อินาโฮะ ว่าเป็นคนฉลาดและบุคลิกภาพผิดแปลก เลยเป็นที่ฮือฮา น่ารัก........ ลองคิดกลับกัน อินาโฮะ เป็นคาแรคเตอร์ที่ไม่ทราบว่า "ไม่เคยเรียนรู้อารมณ์แบบ Rei Ayanami จากเอวา ที่มีพัฒนาการผิดแปลกเนื่องจากการเรียนรู้ตั้งแต่เกิด (เป็นธรรมชาติ แต่ผมไม่คิดว่าหมอนี้จะถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจขนาดนั้น พี่ก็อยู่ทั้งคน) หรือ มันเป็นบุคลิกที่เจ้าตัวตั้งใจสร้างขึ้นมาเองกันแน่ (เป็นบุคลิกที่พี่สาวมองออกล่ะนะ 55+)" ถ้าแบบที่ 2 อินาโฮะคงเป็นบุคลิกภาพที่น่ากลัวที่สุดในโลกของความจริง เป็นอัจฉริยะ ที่แทบไม่มีอยู่จริงบนโลก.....ทักษะจำเป็นสำหรับผู้ที่อยู่ในระดับแนวหน้า คงหนีไม่พ้น "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" แต่บุคลิกแบบอินาโฮะ การวางแผน การคิดการอ่าน คือสิ่งที่ทำให้ "อ่านไม่ออก".....และยากที่จะทำลาย   
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่าง คงเป็นเด็กชนะผู้ใหญ่ อย่างสมเหตุผลนี้แหล่ะ อย่างที่กล่าวไป ชาวดาวอังคาร ขาดทักษะต่างๆมากมาย และฝั่งโลก มีทหารเด็กเยอะแยะ จุดนี้แอบเสียดสีการพัฒนาของประเทศบนโลกจริงๆด้วยนะถ้าคิดดูดีๆน่ะ (เอาไปคิดต่อนะ....กลัวบล็อคปลิว)

อนึงอนิเมะในซีซั่นเดียวกัน ไม่มีเรื่องไหนมีพล็อตทำนองนี้เลยอานะ เลยดังเป็นพลุแตกได้ไม่ยาก ถึงกระนั้น ก็ยังเหมือนเดิมที่ว่า คนไม่เปิดใจรับแนวหุ่น ให้เทพมากำกับก็ไม่ดูหรอก.....
ทั้งๆที่ในความคิดผมคือ ถ้าเทียบกับงานอื่นๆที่อยู่ในชั้นเดียวกัน เรื่องนี้ออกจะธรรมดาด้วยซ้ำ (นึกไม่ออก ลองเทียบ Muv-Luv Alternative: Total Eclipse หรือ Bokurano ดู) 
พูดง่ายๆว่า ถ้าจะจุก ถ้าจะพีค ก็อยู่ในระดับจุกเป็นตอนๆ เป็นฉากๆไป ด้วยอารมณ์ของตอนนั้นๆเอง  แต่พอมามองภาพรวมก็ไม่ได้ทำให้รู้สึก "อื้อหือ" เลย นั้นเป็นเหตุผลที่ตอนแรกผมอยากจะรอให้ออกครบ 2 ภาคก่อน เผื่อจะกู้อะไรได้หลายๆอย่าง

ยอมรับว่าการกำกับนั้นดีกว่าเนื้อเรื่องจริงๆด้วยซ้ำ เพราะถ้าให้สปอร์ยพล็อตเรื่องหรือเล่าให้เพื่อนคุณฟังอย่างออกรสนั้น มันช่างทำทำได้ยากนัก จริงไหม? ตัวผมเองตอนแรกยังนึกไม่ออกเลยว่า ผมจะยอเรื่องนี้จนผู้อ่านที่ไม่เคยดู รู้สึกสนใจหันมาดูได้อย่างไร เพราะถ้าพูดไป ก็เหมือนสปอร์ยและรายละเอียดที่ทำให้ประทับใจ ดันละเอียดอ่อนกว่าที่คิด นอกจากจะไปไซโครด้วยชื่อผู้กำกับ สต๊าฟต่างๆ ผนวกกับล่อด้วยภาพลักษณ์คาแรคเตอร์......




วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิว: Mahou Sensou & Toaru Hikushi e no Koiuta


Mahou Sensou (Magical Warfare)

CG animation : 6/10
Character Design: 7.5/10
Story: 5/10 (**not including novel)
Soundtrack/Voice Actor: 8/10
Impression: 4/10
Emotion/Drama: 7/10

Type: Series
Studio: MadHouse
Thai LC: Not yet (อย่า LC มาเลย ผมขอ ไม่คุ้มค่าทุนคุณหรอก)

มีปุ่มให้ตามใจชอบไหม? ผมจะได้ให้ติดลบล้าน นี้จะเป็นอนิเมะที่คะแนนรวมต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ผมเขียนมา ไม่เชื่อกลับขึ้นไปดูตรงช่องความประทับใจ impressive ผมให้แค่นั้นจริงๆนั้นแหล่ะ ขอชี้แจงเหตุผลหน่อย คุณรู้จัก MadHouse ไหม? นี้เป็นสตูดิโอที่ทำชื่อเสียงไว้อย่างมาก ที่ดังที่สุดคือ Summer wars ซึ่งมีคุณสมบัติได้เข้าชิงออสก้าเลยทีเดียว ยอดขายเรื่องนี้พุ่งทะลุแซงทุกทางโค้ง และมูฟวี่ภาพสวย กินใจทุกระดับอย่าง To aru hikūshi e no tsuioku (ซีรี่ย์แรกที่โยงกับแค้นข้ามฟ้าที่ฉายอยู่นี้ไง) ถ้าเป็นซีรี่ย์ก็ต้องเรื่องเด่นอย่าง BTOOOM! ที่ผมก็ไม่ผิดหวังเช่นกัน (แต่ยังไม่ได้เขียน รอหน่อยละกัน) ผมขอออกความเห็นส่วนตัวเลยว่า "ผมหวังเป็นการส่วนตัวแบบโคตรๆ" น่ะ.....
สิ่งที่ผมได้น่ะหรอ? เนื้อเรื่องติดไนตัส กระโดดไปมา ไม่มีที่มา อยู่ๆโผล่มางี้ เล่นเอาลูกตาแทบถล่นพร้อมอุทานออกมาตรงๆว่า "มันมาได้ไงวะ!!" หลายจุดให้คิดเอาเอง เป็นอนิเมะที่รวบรัดตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่อง ตอนจบไม่เคลียร์ ไม่สิ ต้องเรียกว่า มันยังไม่จบ! เพราะบอกว่าจะต่อซีซั่น 2 เป็นกลไกที่ดีในการชักจูงให้ดูซี 2 เพราะคนที่กัดฟันดูมาถึงจุดนี้ได้ ถือว่าความอดทนสูงจริงๆ (ผมก็ด้วยล่ะนะ แต่ด้วยเหตุผลมุ้งมิ้งว่าดูมาครึ่งเรื่องล่ะ ขอดูต่ออีกหน่อยแล้วกัน) พนันได้เลยว่ายอดขายเหลวแน่ๆ เรื่องนี้คนทำซับ เยอะที่สุดในซีซั่นนี้แล้วล่ะครับ ไม่เชื่อกดดูรายชื่อค่ายซับที่ทำเรื่องนี้ได้เลย อย่างที่สอง ดีเทลเรื่องนี้ขนาดอาจารย์ผู้แต่งนิยายต้นฉบับยังบอกเลยว่าไม่น่าเอามาทำอนิเมะ จากที่ศึกษาดู อนิเมะตอนแรก คือรวบนิยายเล่ม 1 ทั้งหมดมาใส่ไว้ เหวอออ ทำอย่างกับชานะ..... (แต่นั้นเขามีมูฟวี่แก้ตัวนะ อภัยๆ) ข้อดีของเรื่องนี้หรอครับ เพลงครับ ผมก็ดูแค่เพลงนี้แหล่ะ ED ที่ทุกคนต่างกล่าวขาน เพราะ Nano ซังมารับงานทำซาวให้ นาโนะโตโมะดูอนิเมะไป ก็ฟินซาวไป แต่ก็คงเฟลไม่น้อยล่ะครับ ถึงการกับกำกับซาวจะดี แต่ไคลแมกซ์สั้น รวบรัด ยิงปืนนัดเดียว ลูกปืนยังไม่เข้าเป้าเลย ตัดฉากแล้ว!! ผมสารภาพว่า ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Miyano Mamoru ซังมารับงานพากย์ทาเคชิ จนกระทั้งตอน 10 อ้อๆ แต่ตอน 6 กับ ตอน 10 ผมถือว่าโอเคนะ มีหลายๆจุดใส่ใจงานเป็นพิเศษ ถึงกับคิดว่า "เฮ้ย เลิกเผางานแล้วหรอ กู้หน้าได้จริงๆ" แต่ทุกอย่างก็มาพังลงเพราะตอนจบที่ดูไม่รู้เรื่อง (ตอนอื่นมีการตัดตอนเยอะ แต่ก็ยังรู้เรื่องอยู่ แต่ตอนจบนี้บอกเลย กำกับห่วยมาก....) ให้ลุ้นต่อเอาเองอย่างที่กล่าวไป เรื่องนี้เผา แต่เผาไม่อาร์ตแบบชาร์ฟ ก็เรียกว่าเผาลายเส้นละกัน คาแรคเตอร์ ผมให้สูงหน่อย ผมว่าดีไซน์น่ารักดี แต่นิสัยนี้ ขัดใจผมน่ะ.....การออกแบบสกิล ก็ยังต้องนั่งลุ้นต่อไป ยังไม่มีใครโชว์พาวเต็มที่เลย อ่านมาถึงจุดนี้ ยังไม่มีคำว่า "รีวิว" เลยใช่ไหม.... ผมว่าแค่นี้ก็บอกได้ล่ะว่า คุณสมควรดูดีไหม





Toaru Hikushi e no Koiuta
CG animation : 7/10
Character Design: 7.3/10
Story: 8/10 (Not including novel) 
Soundtrack/Voice Actor: 7.7/10
Impression: 8.2/10
Emotion/Drama: 7.7/10 

Type: Series 
Studio: Bandai Visual, TMS Entertainment, NIS America, Inc.L, 3xCube, ZERO-A
Thai LC: Not yet

Note: Spin off "To aru hikūshi e no tsuioku"

ก่อนอื่น ต้องขอขี้โม้หน่อยนึงว่า เสาร์นี้แอดมินจะไปสอบสัมภาษณ์การบินพลเรือนล่ะ ฉลองสักหน่อย เขียนเรื่องนี้เลยแล้วกัน เย้ //โดนลูกเพจเอาปืนสอยอากาศยานยิง

อะแฮ่ม.... เรื่องนี้เกริ่นๆกันไปบ้างแล้วว่าเป็นอนิเมะน่าดูของซีที่แล้ว ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆ หลังจากที่แอดมินรอมาตลอดปีนึงอย่างลับๆ เนื่องจากเรื่องนี้จริงๆมีกำหนดฉายตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ไม่ทราบเหตุผลจริงๆว่าทำไมถึงเลื่อนแล้วเลื่อนอีกจนเป็นปีนี้ส่ะได้ (?) เป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมให้บันไดทำ คือนึกไม่ถึงจริงๆว่าบันไดจะมาจับงานนิยาย (กึ่งๆวรรณกรรมตะวันตก) แบบนี้ เพราะสตูดิโอที่ทำภาคของาน่าก่อนหน้านี้เป็น MadHouse (เสียดายแหะ ไม่ได้เห็นฟาน่าในลายเส้นนี้) เพราะฉะนั้นเรื่องภาพก็อย่างที่เห็น ดูเผินๆ แอบเหมือนอนิเมะเด็ก เพราะไม่ค่อยเล่นเงา ไม่ค่อยเน้นสี ใช้โทนสีกลางๆตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็ไม่ได้แย่ เพราะก็ยังไม่เผาละกัน ถ้านึกไม่ออกก็นึกถึงอนิเมะยุคเก่าๆหรืออนิเมะของสตูดิโอเโอเด็ตของยามะคังได้ พวก Wake up girl! ก็ใช้สีแนวนี้เหมือนกัน แต่ขอชมเชยเรื่อง BG หน่อย เพราะว่าทำสวยแบบเรียบๆ เวลาดูเรื่องนี้จึงรู้สึกสบายๆ ไม่แสบตาและไม่รู้สึกมืดหม่น เหมาะกับแนวเรื่องที่ใสๆแต่แอบดราม่าล่ะครับ ปิดประเด็นเรื่องภาพ ฮา มาดูกันที่พล็อตเรื่องกัน แอดมินไม่ได้ลองจับนิยายแบบจริงๆจังๆ คงจะบอกไม่ได้ว่าเรื่องนี้ติดไนตัส ทำแย่หรือดีมากน้อยแค่ไหน แต่ส่วนตัวคิดว่า แอดมินพอใจมากๆเลยล่ะ ทั้งการกำกับ การดำเนินเรื่อง การหักมุมที่มีสเน่ห์และชวนให้คนดูลุ้นไปด้วย ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมัน อารมณ์ของตัวละครรู้สึกสมจริง ไม่ได้รู้สึกเวอร์แบบบักเอเลน ฮา ถือว่าดูรู้เรื่อง เพราะส่วนไหนที่ไม่รู้เรื่องก็ไม่มีผลกับเนื้อเรื่องหรอก เรื่องนี้คั้นอารมณ์ทำให้อินได้และตัดตอนได้ค้างมาก ชอบใช้ลูกเล่นตอนใกล้จบตอน พอจะสัมผัสได้อยู่ว่ามีส่วนตัดออกไปจากนิยายมาก แต่ก็ไม่ได้ทำลายอรรถรสเหมือนอนิเมะเรื่องอื่นๆที่สับแหลกหรือปล่อยให้งุนงง เรื่องนี้เริ่มแบบมีน้ำหนักและจบแบบมีน้ำหนัก ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ถึงส่วนดราม่าจะดูเบาๆไปบ้าง แต่ก็คิดว่าด้วยจำนวนตอนแค่นี้ก็สมเหตุสมผลไม่น้อยเลยทีเดียว คงไม่มีใครบ่นว่าตอนน้อยไปหรอกนะ... เรื่องเพลงกับนักพากย์ เพลงนี้ค่อนข้างไม่เป็นกระแส ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่มี OST เพลงไหนเตะหูเป็นพิเศษ ชิลๆสบายๆ แต่นักพากย์ก็มีทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าสลับกันไป นางเอกเราได้ Yuki Aoi (บร๊ะแม่มาโดกะ) มาพากย์นะ แต่ก็ไม่ได้ดึงดูดอะไรมากเป็นพิเศษจริงๆ คาแรคเตอร์เรื่องนี้แลดูเด็กกว่าวัยทุกตัว เพราะในภาคของฟาน่าดูแก่สุดๆเลยถ้าเทียบกับเรื่องนี้ เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นอนิเมะเนื้อหาผู้ใหญ่ในลุคเด็กๆ ถ้าคุณดู คุณจะไม่ผิดหวังครับผม

รีวิว: Aoki Hagane no Arpeggio : Ars Nova & M3: Sono Kuroki Hagane






Aoki Hagane no Arpeggio : Ars Nova
CG animation : 8.9/10
Character Design: 8.7/10
Story: 8/10
Soundtrack/Voice Actor: 9.5/10
Impression: 8.5/10
Emotion/Drama: 7.6/10

Type: TV Series
Studio: SANZIGEN
Thai LC: No

*2nd best NewType anime's award

อนิเมะเดบิ้วสตูดิโอ SANZIGEN อย่างเต็มตัว เนื่องจากปกติสตูดิโอนี้มักจะเป็นลูกมือสตูดิโอใหญ่ๆอย่างพวกโอเด็ท(แต่ก็ยังเล็กอยู่)มากกว่า แต่เรื่องนี้มาแบบแหวกๆคือเหมาทำเองหมดเลย ไม่มีสตูอื่นมาขึ้นชื่อร่วมทำด้วย นับว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่จริงๆ แต่เนื่องจากเป็นสตูดิโอเล็กๆจึงมีต้นทุนค่อนข้างต่ำ และมีปัจจัยอะไรหลายๆอย่างทำให้ต้องลดหย่อนไปบ้าง แต่กลับผิดคาด เพราะเรื่องนี้ จัดเต็ม Full 3D CG เลยทีเดียว หลายๆคนอาจไม่ชอบภาพอนิเมะแบบ 3D ล้วนทักเท่าไหร่ แต่อนิเมะแนวไซไฟร์ที่เป็นมูฟวี่ส่วนใหญ่ก็ทำเป็น 3D ส่ะเยอะ อย่างเช่น Rebuild of Evangelion จึงไม่แปลกใจที่พวกฉากเอฟเฟกยิงบีมอะไรต่างๆของเรื่องนี้จะให้ความรู้สึกเหมือนดูเอวา การปั้นโมเดลจะช่วยลดต้นทุนในการวาดมือแบบ 2D อาจทำให้ภาพแข็งๆไปบ้าง (ในช่วงแรกภาพแข็งมากจริงๆ เหมือนยังไม่ลงตัว) แต่ให้ความรู้สึกอลังการงานสร้างกว่า และเมื่อทำออกมาดี มีบลูเรย์ขาย ก็จะพ่วงมาด้วยความหรูหรา ถูกใจมนุษย์อนิเมะที่ชอบเก็บของสวยๆงามๆและอลังการ สรุปก็คือลงทุนน้อย พึ่งฝือมือล้วน แต่ได้ผลลัพธ์อลังการ (ไม่รู้จะสรรหาคำไหนแล้วล่ะ) มันไม่บ่อยหรอกนะ ที่จะมีทีวีซีรี่ย์แบบ 3D ให้คุณๆได้จับหา จึงเป็นเหตุให้เรื่องนี้ขนของออกมาให้ได้จับจองจนน่าหมั่นไส้เลยทีเดียว (เพราะแอดมินงบไม่ถึง) คงเป็นการหารายได้มาสนับสนุนสตูเล็กๆล่ะกัน อุดหนุนกันไปเพื่องานล้ำๆ
เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องมีความหนักเบาแบบบาล้านซ์ บทไหนเครียดคือเครียดยาวยึดไปหมดทั้งตอน บทไหนน่ารัก เฮฮา ก็จะยึดยาวหมดทั้งตอน แต่ทุกจุดมีการเชื่อมต่อกันอย่างลงตัว เป็นไซไฟร์ผสมเมช่าแบบเบาๆน่ารักๆ ดูได้ทุกเพศทุกวัย และได้เกร็ดความรู้ไปในตัว เนื่องจากเป็นอนิเมะที่มีจุดประสงค์ทำขึ้นมาเพื่อเคารพกองราชนาวีญี่ปุ่นอยู่เป็นต้นทุน จึงต้องเพิ่มความเวอร์เข้าไปหน่อย แอบคุยหน่อยว่าไม่เห็นฟริแกตสักลำ 555+ ถ้าอยากได้เนื้อหาเข้มข้นเลยจริงๆคงต้องหามังงะมาสัมผัสกันล่ะ อนิเมะนั้นทำออกมาแหวกชนิด คนที่อ่านมังงะมาแล้วสปอร์ยไม่ได้ ก็เป็นเสน่ห์ที่เพิ่มความหลากหลายล่ะ ดูอนิเมะได้ฟีลเบาๆ อ่านมังงะได้ฟีลหนักหน่วง ความดราม่าก็มีแบบเล็กๆน้อยๆ จนถึงขั้นบ่อน้ำตาปิ่ม จริงๆมันควรจะแตกแหล่ะ แต่ความรวบรัดทำให้เสียฟีลเล็กๆ ตอนจบอาจไม่จุใจคนที่หวังเรื่องการได้เห็นยุทธการเรือรบแบบหนักหน่วง แต่ก็ถือว่ากินใจนะ แหวกๆ รวมๆอาจจะดูรวบรัดไปหน่อยเพราะมีโควต้าเพียงแค่ 12 ตอนเท่านั้น จึงทำให้คาดเดาไม่ยากว่าน่าจะมี SS2 อิงจากเนื้อหาในมังงะที่ยังเหลืออีกบานตะไทและยอดขายของที่ค่อนข้างพุ่งถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆในพีเรียดเดียวกัน แพ็กเกตบลูเรย์แหวกแนว สวนกระแส รองรับจำนวนสินค้าที่ผลิตออกมา
รายละเอียดกองเรือนั้นทำออกมาได้ละเอียดยิบ คาแรคเตอร์เพราะเป็นโมเดลจึงมีสัดส่วนที่มั่นคง หัน 360 องศาก็ไม่ได้ทำให้ตัวเล็กลงหรือหน้าอกใหญ่ขึ้น(?)เลยสักนิด จึงมีข้อเสียตรงที่ความหลากหลายทางกายภาพอาจไม่ได้แสดงออกมา เช่น เสื้อผ้าน้อย ท่าทางน้อย ความพริ้วไหวไปเน้นตรงเส้นผมส่ะหมด โดยรวมถ้าไม่ไปซีเรียสกับความเป็นโมเดลมากๆก็ ความแอคชั่น การถ่ายทอดมุมกล้อง โอเค โอเคเกือบหมดเลยถ้าเทียบกับต้นทุน จนไม่รู้จะเจาะจงอะไรเป็นพิเศษ กระซิบหน่อยว่าโมเดลตัวประกอบแอบตลกมาก เหมือนไม่ตั้งใจปั้นไงไม่รู้ 555+
ปรัชญาแอบล้ำลึก แต่จำเป็นต้องตัดออกเยอะ คาแรคเตอร์แอบมีหลายมิติ กลไกลทุกอย่างทำงานแบบเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ได้โผล่มาแบบ "เฮ้ย ได้ไง" มันมีเหตุผลในตัวของมัน เพียงแต่เราอาจไม่ได้เห็นจริงจัง บอกตรงๆว่าเสียดายที่โควต้ามันน้อยจนบางทีต้องตัด Op ออกเพื่อทอนเวลา รวบเกินจริงๆ ไม่งั้นเรื่องนี้จะอีพิคกว่านี้มาก
แอบเสริมเรื่องนักพากย์และซาวด์หน่อย เรื่องนี้ผมทำการบ้านค่อนข้างหนัก เพราะถือว่าเป็นอนิเมะที่เชียร์มากที่สุดในปีนี้แล้ว เรื่องนี้เหมา FlyIng Dog มาทำซาวด์ให้ทุกอย่าง ในแทรคมีแค่ 15 กว่าเพลงโดยประมาณ (ตรงโปรโมทจากออฟฟิเชี่ยน) ถือว่าน้อยมาก แต่ก็สมต้นทุน เพราะ Flying Dog เป็นค่ายเพลงที่ไม่ใหญ่อะไรมาก (แค่นักร้อง นักพากย์ดังๆสังกัดค่ายนี้เยอะเหมือนกัน แต่อย่าไปหวังว่าจะใหญ่เท่าSony) แต่มีคุณภาพ และค่อนข้างทุ่มกับ OP พอสมควร เพราะคนรับงานเต็มๆคือ Nano ซัง (ฟีทฮิโระซัง) นักร้องดัง(และนำโด่ง)ของค่ายหมาบินเขาล่ะ เราจะได้ฟังนาโนะซังแบบจุใจเลยจริงๆ ซึ่งแอดมินอวยอยู่แล้ว 555+ นักพากย์เป็นนักพากย์ยูนิตใหม่เกือบหมดทั้งเรื่อง แม้จะสวนกับดราม่าซีดีที่เคยใช้นักพากย์ดังๆ แต่นี้คือการเดบิ้วและแหวกเส้นทางใหม่ๆให้พวกเธอและเขา ทุกคนหน้าใหม่ก็จริง แต่ความสามารถสูงมาก และการดันของเรื่องนี้มีมากพอที่จะทำให้คาแรคเตอร์ดังๆเกือบทุกคน แม้บทน้อยมาก ก็มีคาแรคเตอร์ซอง เช่น มายะ 555+ และก็ยังจัดไลฟ์เดบิ้วทั้งนาโนะซังกับทีมพากย์เรื่องนี้ในชื่อ Blue Field เมื่อวันที่ 1/12/13 ที่ผ่านมา ถูกใจแฟนๆเลย นับว่าเป็นก้าวแรกที่มั่นคงและมีแววดีๆของทั้งสตูดิโอและทีมงานเสียงจริงๆ สำหรับผมถือว่าอนาคตดีๆและแฟนคลับทุกคนคาดหวังว่าจะได้เห็นงานดีๆแบบนี้ต่อไปนะครับ สู้ๆนะทีมงานทุกคน



M3: Sono Kuroki Hagane

CG animation : 7/10 
Character Design: 8/10
Story: 8.5/10
Soundtrack/Voice Actor: 8/10
Emotion/Drama: 8.5/10
Philosophy/Truth: 8/10

Type: Series
Studio: Satelight
Thai LC: No (คงไม่มีใครอยาก LC ด้วยมั้ง)

ขอบอกไว้ก่อนว่า ดูถึงตอน 17 ที่เป็นซับไทย แล้วก็ไปนั่งดูรีแคปภาคอิ้งไปเลย ณ จุดๆนี้ไม่มีอะไรต้องลุ้นแล้วครับแหม ถ้าทนนั่งรอซับไทยเกรงว่าจะลืมจนหมดว่าจะเขียนไรบอกผู้อ่านส่ะก่อน 
M3 สูตรสำเร็จของความเหงา หุ่นรบรูปร่างปีศาจปะทะยัยยันเดะเระ //พอ

ไซไฟหุ่นรบแนวแฟนตาซีๆที่ผมถือว่าผมชอบในระดับหนึ่งเลยล่ะ อาจเป็นเพราะซีซั่นที่แล้วไม่ค่อยมีไรให้ถูกใจด้วยล่ะนะ ถ้าเทียบกับเรื่องอื่น ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปอวยกับชาวบ้านเหมือนกัน ด้วยความที่ว่า เหมือนกับเอาเทคโนโลยีหุ่นไปสู้กับปีศาจ ทำให้แนวเรื่องดึงดูดพวกชอบลองของแปลกไม่น้อยเลยทีเดียว
อนิเมะเรื่องนี้ถือว่าไม่หักมุมอะไรนักหนา แต่แค่ผมคาดไม่ถึงเยอะเท่านั้นเอง ให้ตายเถอะ ! ถ้าดูแค่ตอนแรกๆ คงบอกได้คำเดียวว่า "มันเกิดอะไรขึ้นวะ" หรือบางที ดูจบก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่....หลายๆซีนหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่ามันเกิดไรขึ้นจริงๆ ถึงการดำเนินเรื่องเนิบๆค่อยๆเฉลยออกมาแบบอนิเมะปริศนาแฟนตาซีธรรมดาๆ แต่ก็ไม่ถือว่ายืดเยื้อนะ เพราะบางที บทจะมาก็มาไว ไปไวจนตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน ให้โควต้ามาตั้ง 24 (+1) ตอนแน่ะ โดยรวมแล้วบางทีก็ทำให้งุนงง หัวหมุน กดดันประสาทจนตับพังเลยทีเดียว 
เหมือนเรื่องพยายามจะทำให้เรารู้สึกคล้ายคลึงหรืออินกับตัวเอก ความคิดความอ่านอะไรหลายๆอย่างเหมือนต้องการให้เราเอาไปเปรียบเทียบกับตัวเองตลอดเวลา หลายครั้งที่รู้สึกว่าเราเคยคิดแบบนี้และเคยทำแบบนี้อยู่เหมือนกัน หรืออาจเป็นการมโนของคนดูอย่างผมเองก็เป็นได้
แต่ล่ะคำพูดของตัวละครค่อนข้างละเอียดอ่อนและแฝงปรัชญาสั้นๆเป็นระยะๆ จนรู้สึกว่าหุ่นในเรื่องไม่ใช่เมนหลักของเรื่องเลย นี้มันอนิเมะดราม่าชัดๆ ใครหวังจะได้เห็นแอคชั่นหุ่นหรือวิทยาการล้ำๆนี้ต้องปลงนะครับ เรื่องนี้มันจิตวิทยาโคม่าต่างหาก
ด้วยฉากโทนสีหม่นๆ อดีตและอารมณ์ของคาแรคเตอร์กับหน้าตาคาแรคเตอร์ที่มาแนวอมทุกข์ ถ้าไม่นับความอยากรู้อยากเห็นที่อยากรู้ว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น ก็ทำให้รู้สึกหดหู่จนไม่อยากจะดูต่อเลยทีเดียว 
บางตอนดูจบ เหมือน 25 กว่านาทีนั้น ผมเข้าไปในโลกบางโลกเป็นชั่วโมงงั้นแหล่ะ
ขอชมการออกแบบหุ่นที่ออกแบบมาอย่างน่าสะอิดสะเอียนตามบทบาทของมัน ปกติแนวหุ่น มันต้องรู้สึกว่ามันเท่บ้าง แต่นี้ตอนแรกๆก็ไม่เชื่อคำพูดพระเอกมันหรอกนะ ว่าหุ่นมันดูสยอง ไปมา กลับรู้สึกแบบนั้นส่ะเอง เพราะบทบาทในเรื่องมันพาไปจริงๆ ผนวกกับความลับของวิทยาการที่ทำให้รู้สึกเหมือนไปก็อปแนวคิดเอวานเกเลี่ยนมา ยิ่งทำให้รู้สึกประสาทเสียไปใหญ่ แต่นั้นก็ช่วยอธิบายได้ว่าที่มาที่ไปของเรื่องมันเป็นยังไง ถือว่าเป็นการโยงเหตุผลในระดับแกทเชื่อมเต็ม 150 เลยทีเดียว
เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน คงอธิบายได้เท่านี้จริงๆ (ดูซับอิงนี้มึนเลยทีเดียว) แต่ถ้าไม่ได้คิดอะไร มันก็ค่อนข้างน่าเบื่อเลยล่ะ จนกระทั้งไคลแมกซ์....
ผมเป็นคนนึงหรือเปล่านะที่ไม่ชอบนางเอกอ่ะ ดูน่าเบื่ออ่ะ ผมชอบตัวร้ายมากกว่า เพราะยอมรับว่าที่กดัฟันอยากรู้เรื่องต่อ เพราะตัวร้ายนั้นแหล่ะ ปริศนาทั้งหมดอยู่ที่ "เธอ"...เพราะตั้งแต่เปิดเรื่องมา "เธอ" คือคนที่ผมอยากรู้ว่าเป็นใครมากที่สุด เดาไปเรื่อย แต่ก็เดาไม่ตรง ทั้งๆที่พล็อตออกจะธรรมดา 555+
หลายๆคนดูเพราะเพลงนะ ซาวด์เรื่องนี้ได้ FlyIng Dog ช่วย ไม่ผิดหวังครับ 
ยังไงสตูดิโอกำกับคือ Satelight ซึ่งเป็นทีมที่กำกับ Macross Frontier มาก่อน คุณอาจจะรู้ว่าคาแรคเตอร์กับลายเส้นคล้ายเรื่องนี้ก็ไม่แปลกอะไรหรอก ทีมนี้ทำแนวหุ่นดราม่าไม่ผิดหวัง แต่จะผิดหวังตรง เพราะมันเป็นดราม่าหนักไปหรือเปล่า การบรรยายหรือการสื่อออกมาบางทีบิดๆเบี้ยวๆอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ถือว่าโอเคนะ


Remember My Friend (Nano) Thai Translation



Remember My Friend
Artist: Nano
TH Translator: Am: S
Album: N

แปลไทย


รู้สึกได้ถึงลมหนาวของฤดูใบไม้ผลิ
ทิวทัศน์ในเมืองที่คุ้นเคยได้จางหายไป

ฉันได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง
ลอยมาตามสายลมที่แสนอ่อนโยน
ถูกพามายังจุดนี้ได้ โดยไม่หลงทาง

เสียงของเธอได้ฟื้นคืนความฝันของพวกเราที่จมอยู่ใต้กองหิมะ
ดอกไม้เบ่งบานตามฤดูกาลที่เวียนกลับมาอีกครา

Remember My Friend
สิ่งที่ไม่อาจมีอะไรมาแทนที่ได้
คือการโบกมือจากลาในวันนั้น

Remember Myself
สิ่งที่ไม่อาจลืมได้จนกระทั้งตอนนี้

จะร้องเพลงเพื่อส่งความรู้สึกนี้ไป
แม้ว่าเราจะพลัดพรากจากกันก็ตาม

ในยามเย็นที่พระอาทิตย์ใกล้ลับ
ก็ต้องคิดถึงแต่รอยยิ้มของเธอทุกครั้ง

จนเผลอคลาดสายตาจากดาวตกจนได้
ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน
ซึ่งไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
และทำให้ฉันต้องวิงวอนต่อปาฏิหาริย์

Remember My Friend
สิ่งที่ไม่อาจมีอะไรมาแทนที่ได้
คือการโบกมือจากลาในวันนั้น

Remember Myself
สิ่งที่ไม่อาจลืมได้จนกระทั้งตอนนี้

จะร้องเพลงเพื่อส่งความรู้สึกนี้ไป
แม้ว่าเราจะพลัดพรากจากกันก็ตาม

5150 (Nano) Thai Translation



5150 Nano ver.
Artist: Nano 
TH Translator: Am: S
Album 5150 by DEVILISH P feat. Hatsune Miku x GUMI 

แปลไทย

*เพลงนี้ มีการแก้ไขให้เหมาะสมหลายจุด มากกว่าเพลงอื่นๆที่เคยแปล สามารถชี้แนะได้ ขอบคุณ

ผ่านไปอีกวันแล้วสินะ
รู้สึกได้ถึงสายลม
ท้องนภากำลังร่ำไห้
ฉันยืนอยู่คนเดียว ก่อนที่ที่คำคืนนี้จะเป็นนิรันดร 
เสียงจังหวะหัวใจของฉันดังก้องไปทั่ว

ตอนนี้ โลกแสนสมบูรณ์ที่เธอเฝ้าภาวนาถึง
ฉันมองเห็นมันในดวงตาของเธอ
เธอจ้องมองความงดงามที่ตกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ดั่งเช่นความมืดมิดรอบๆตัวเธอ
ทุกๆหนึ่งคำตอบกลับกลายเป็นคำโกหก
เธอกำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดแสนน่าหวาดกลัว
ดั่งเช่นที่เธอร่ำไห้ด้วยความสิ้นหวัง

สานต่อไป
พวกเราทุกๆคน ทุกๆดวงวิญญาณภายในกำลังบอบช้ำ
สุดท้ายแล้ว ความเงียบทั้งปวงกำลังจะเลือนหายไป
ทุกความเจ็บปวด ทุกหยาดน้ำตา ทุกลมหายใจ ที่ฉันมี
ถูกช่วงชิงโดยความมืด แต่ฉันกลับเหนี่ยวรั้งไว้
เพื่อยามเช้าที่ไร้รุ่งอรุณ

**ดังนั้น เงยหน้ามองสรวงสวรรค์ด้านบนนั้นสิ
เช่นเดียวกับค่ำคืนที่โอบรอบดวงดาวเหล่านั้น
ไม่ว่าเมื่อไรฉันก็จะอยู่ตรงนี้ อ้าแขนรอรับเธออยู่เสมอ
หากเธอให้ฉันเข้าถึงหัวใจที่แตกร้าวนั้น
ภายใต้ดวงดาวที่ส่องประกรายอยู่ในสรวงสวรรค์เหนือขึ้นไ
ฉันจะยืนตรงนี้ จนกว่าน้ำตาที่ร่ำไห้ออกมานี้จะหยุดไหล 
“ข้ามผ่านราตรีนิรันดรนี้ เธอจะค้นพบทางออก”
ฉันหลับตาลงและฟัง
เสียงที่แสนอ่อนโยน ภายในตัวฉัน

ฉันมองเข้าไปนัยน์ตาของเธอ มองเห็นซึ่งความฝันที่เธอได้หลงลืมไป
และเมื่อวันเก่าๆที่เธอหวนคิดถึงได้จบลง นั้นคือสิ่งที่ทำให้เธอกลับมา
หากเธอลองมองเข้าไปภายในตัวเธอ เธอจะค้นพบซึ่งพลังที่จะปลดปล่อยออกมา
สุดท้ายแล้ว เธอจะพบเองว่าค่ำคืนนี้ได้สิ้นสุดลง

สานต่อไป
พวกเราทุกๆคน ทุกๆดวงวิญญาณภายในกำลังภาวนา
พยายามกางปีกที่หักออก เฉกเช่นที่เราพยายามจะบิน
ไขว่คว้าดวงดาวที่อยู่เพียงแค่ปลายนิ้ว
ท่ามกลางหยาดฝนกรด เสียงกรีดร้องของเราถูกเค้นออกมาอย่างแผ่วเบา
และนั้นคือเหตุผลที่ฉันร้องเพลง เพลงนี้

สานต่อไป
พวกเราทุกๆคน ทุกๆดวงวิญญาณภายในกำลังมีชีวิต
ความฝันที่เราเคยละทิ้งได้กลับมาอีกครั้ง
แม้ว่ามันจะไม่มีวันเป็นจริ
ท่ามกลางหยาดฝนกรด ฉันอธิษฐานขอเพียงให้เธอได้ยิน
เพลงๆนี้ ที่ฉันร้องเพื่อเธอ

**

NEW WORLD (Nano) Thai Translation



NEW WORLD
Artist: Nano
Series: Mahou Sensou insert song
TH Translator: Am: S
Album: Born To Be (Mahou Sensou ver.)

lyrics / แปลไทย

We're stepping up to the startline
Open your mind and just let go
Reach out and every real sign
And say good-bye to the old world

เราก้าวข้ามผ่านจุดเริ่มต้นมาแล้ว
เปิดใจของเธอ และเดินหน้าต่อไปสิ
เอื้อมไปให้ถึง และลางต่างๆนั้นเป็นของจริง
แล้วบอกลาโลกใบเก่านั้นส่ะ

We'll leave behind all the questions
There's always just one answer
It's the start of a new world
Say hello to the new world

เราได้ทิ้งคำถามพวกนั้นไปแล้ว
เพราะมักจะมีเพียงคำตอบเดียวเสมอ
นั้นแหล่ะ คือการเริ่มต้นของโลกใบใหม่
สวัสดีโลกใบใหม่ส่ะสิ

Everyday is chance to move on
So close your eyes and just let go
Wake up and face every true dawn
And create a way to the future

ทุกๆวันมีโอกาสให้ก้าวต่อไปเสมอ
หลับตาลงส่ะ แล้วเดินหน้าต่อไปสิ
ตื่นขึ้นมาแล้วเผชิญหน้ากับรุ่งอรุณที่แท้จริง
และสร้างหนทางสู่อนาคตส่ะสิ

As long as you keep on breathing
there's a life that you need to believe in
Don't lose the voice within
Listen to the voice within

ตราบใดที่ยังหายใจอยู่
นี้คือชีวิตที่เธอต้องเชื่อมั่นไง
อย่าได้หลงลืมเสียงภายในตัวเธอ
แล้วจงฟังเสียงภายในตัวเธอส่ะสิ

We're stepping up to the startline
Open your mind and just let go
Reach out and find every real sign
And say good-bye to the old world

เราก้าวข้ามผ่านจุดเริ่มต้นมาแล้ว
เปิดใจของเธอ และเดินหน้าต่อไปสิ
เอื้อมไปให้ถึง และลางต่างๆนั้นเป็นของจริง
แล้วบอกลาโลกใบเก่านั้นส่ะ

We'll turn away all the questions
there's always just one answer
It's the start of a new world
Say hello to the new world

เราได้ทิ้งคำถามพวกนั้นไปแล้ว
เพราะมักจะมีเพียงคำตอบเดียวเสมอ
นั้นแหล่ะ คือการเริ่มต้นของโลกใบใหม่
สวัสดีโลกใบใหม่ส่ะสิ

Finding the courage
(There must be a way)
To change what we've become
(To realize)
Facing the silence
(The light of today)
Inside of our hearts

รวบรวมความกล้าส่ะสิ
(มันต้องมีหนทางสิ)
เพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆที่เราเคยเป็น
(เพื่อที่จะตระหนักถึง)
เผชิญกับความเงียบงัน
(แสงสว่างของวันนี้)
ที่อยู่ภายในหัวใจของเรา

Just look beyond
(Save me from shadow)
All that you know
(This is my only hope now)
And see the one
(Even if we don't know what's waiting ahead)
Beautiful world forever
(I believe, I believe there's a future to live)

แค่มองให้ไกล
(ปกป้องฉันจากความมืดมิด)
เธอรู้อยู่แล้วล่ะ
(นี้คือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของฉัน)
และมองเห็นสิ่งหนึ่ง
(แม้เราจะไม่รู้ว่าเรารออะไรอยู่ก็ตาม)
โลกแสนสวยงาม ซึ่งเป็นนิรันดร
(ฉันเชื่อนะ ฉันเชื่อ จะต้องมีอนาคตข้างหน้านั้นแน่)

Everyday is chance to move on
So close your eyes and just let go
Wake up and face every true dawn
And create a way to the future

ทุกๆวันมีโอกาสให้ก้าวต่อไปเสมอ
หลับตาลงส่ะ แล้วเดินหน้าต่อไปสิ
ตื่นขึ้นมาแล้วเผชิญหน้ากับรุ่งอรุณที่แท้จริง
และสร้างหนทางสู่อนาคตส่ะสิ

As long as you keep on breathing
there's a life that you need to believe in
Don't lose the voice within
Listen to the voice within

ตราบใดที่ยังหายใจอยู่
นี้คือชีวิตที่เธอต้องเชื่อมั่นไง
อย่าได้หลงลืมเสียงภายในตัวเธอ
แล้วจงฟังเสียงภายในตัวเธอส่ะสิ

We're stepping up to the startline
Open your mind and just let go
Reach out and find every real sign
And say good-bye to the old world

เราก้าวข้ามผ่านจุดเริ่มต้นมาแล้ว
เปิดใจของเธอ และเดินหน้าต่อไปสิ
เอื้อมไปให้ถึง และลางต่างๆนั้นเป็นของจริง
แล้วบอกลาโลกใบเก่านั้นส่ะ

We'll turn away all the questions
there's always just one answer
It's the start of a new world
Say hello to the new world

เราได้ทิ้งคำถามพวกนั้นไปแล้ว
เพราะมักจะมีเพียงคำตอบเดียวเสมอ
นั้นแหล่ะ คือการเริ่มต้นของโลกใบใหม่
สวัสดีโลกใบใหม่ส่ะสิ

Finding the courage
(There must be a way)
To change what we've become
(To realize)
Facing the silence
(The light of today)
Inside of our hearts

รวบรวมความกล้าส่ะสิ
(มันต้องมีหนทางสิ)
เพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆที่เราเคยเป็น
(เพื่อที่จะตระหนักถึง)
เผชิญกับความเงียบงัน
(แสงสว่างของวันนี้)
ที่อยู่ภายในหัวใจของเรา

Just look beyond
(Save me from shadow)
All that you know
(This is my only hope now)
And see the one
(Even if we don't know what's waiting ahead)
Beautiful world forever
(I believe, I believe there's a future to live)

แค่มองให้ไกล
(ปกป้องฉันจากความมืดมิด)
เธอรู้อยู่แล้วล่ะ
(นี้คือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของฉัน)
และมองเห็นสิ่งหนึ่ง
(แม้เราจะไม่รู้ว่าเรารออะไรอยู่ก็ตาม)
โลกแสนสวยงาม ซึ่งเป็นนิรันดร
(ฉันเชื่อนะ ฉันเชื่อ จะต้องมีอนาคตข้างหน้านั้นแน่)

We're stepping up to the startline
Open your mind and just let go
Reach out and every real sign
And say good-bye to the old world

เราก้าวข้ามผ่านจุดเริ่มต้นมาแล้ว
เปิดใจของเธอ และเดินหน้าต่อไปสิ
เอื้อมไปให้ถึง และลางต่างๆนั้นเป็นของจริง
แล้วบอกลาโลกใบเก่านั้นส่ะ

We'll leave behind all the questions
There's always just one answer
It's the start of a new world
Say hello to the new world
เราได้ทิ้งคำถามพวกนั้นไปแล้ว
เพราะมักจะมีเพียงคำตอบเดียวเสมอ
นั้นแหล่ะ คือการเริ่มต้นของโลกใบใหม่
สวัสดีโลกใบใหม่ส่ะสิ

Just hear the voice inside of you
And we'll leave behind the old world
Don't hesitate to believe in you
The beginning of a new world
So say hello to the new world

ฟังเสียงภายในตัวเธอ
เราได้ละทิ้งโลกใบเก่าไปแล้
อย่าได้ลังเลที่จะเชื่อมั่นในตัวเธอเอง
นี้คือการเริ่มต้นของโลกใบใหม่
เอ้า สวัสดีโลกใบใหม่ส่ะสิ